สรุปย่อไฟฟ้าเคมี ตอนที่ 1
ไฟฟ้าเคมี (ElectroChemistry)
ไฟฟ้าเคมี เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี เป็นปฏิกิริยาที่มีการให้และรับอิเล็กตรอนระหว่างสาร
หรือหมายถึงปฏิกิริยาออกซิเดชัน–รีดักชัน
ปฏิกิริยาที่มีการให้อิเล็กตรอน เรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ส่วนปฏิกิริยาที่มีการรับอิเล็กตรอนเรียกว่า ปฏิกิริยา
รีดักชัน
กระแสไฟฟ้าทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีหากใช้การถ่ายเทอิเล็กตรอนเป็นเกณฑ์แล้ว
ปฏิกิริยาเคมีแบ่ง
เป็น 2 ประเภท
1. ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายเท e- เรียกว่าปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox Reaction)
2. ปฏิกิริยาที่ไม่มีการถ่ายเท e- เรียกว่าปฏิกิริยานอนรีดอกซ์ (Nonredox Reaction)
ปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox
Reaction หรือ Oxidation-reduction Reaction)
ปฏิกิริยารีดอกซ์ หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการถ่ายเท e- เป็นปฏิกิริยาที่มีทั้งการให้หรือเสียอิเล็กตรอน
และการรับ
อิเล็กตรอน การเสียอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี
เรียกปฏิกิริยาในการเสียอิเล็กตรอนว่าปฏิกิริยา
ออกซิเดชัน (oxidation
reaction) แต่เรียกอนุภาคที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันว่า ดัวรีดิวซ์
(reducer , reducing
agent) หรือจะเรียกว่าตัวถูกออกซิไดซ์ (oxidised)
ก็ได้ ในเวลาเดียวกันอีกอนุภาคหนึ่งจะเป็นฝ่ายได้รับ
อิเล็กตรอน
การรับอิเล็กตรอนเป็นอีกส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี
เรียกว่าปฏิกิริยารีดักชัน (reduction
reaction) แต่เรียกอนุภาคที่เกิดปฏิกิริยารีดักชันว่า ตัวออกซิไดซ์ (oxidiser
, oxidising agent) หรือจะเรียกว่า
ตัวถูกรีดิวซ์ (reduced)
ก็ได้ ปฏิกิริยาทั้ง
2 ส่วนที่ว่านี้จะเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงเรียกชื่อรวมกันว่า รีดักชัน-
ออกซิเดชัน(Reduction-reduction
reaction)เรียกย่อ ๆว่าปฏิกิริยารีดอกซ (Redox reaction)
เช่น
Zn + Cu2+ →
Zn2+ + Cu แบ่งออกเป็น
2 ส่วน ดังนี้
1. ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation reaction) คือส่วนที่อนุภาคเกิดการเสียอิเล็กตรอน ;
Zn → Zn2+ +
2e-
Zn
เป็นตัวรีดิวซ์ หรือเป็นตัวถูกออกซิไดซ์
2.
ปฏิกิริยารีดักชัน (Reduction reaction) คือส่วนที่อนุภาคได้รับอิเล็กตรอน ; Cu2+
+ 2e- → Cu
Cu2+
เป็นตัวออกซิไดซ์ หรือเป็นตัวถูกรีดิวซ์
หรือตัวอย่าง
เมื่อนำแผ่นโลหะทองแดง (Cu) จุ่มลงในสารละลายของ AgNO3 พบว่าที่แผ่นโลหะ Cu มีของแข็งสีขาว
ปนเทามาเกาะอยู่
และเมื่อนำมาเคาะจะพบว่าโลหะ Cu เกิดการสึกกร่อน
ส่วนสีของสารละลาย AgNO3 ก็จะเปลี่ยน
จากใสไม่มีสีเป็นสีฟ้า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อธิบายได้ว่าการที่โลหะทองแดงเกิด
การสึกกร่อนเป็นเพราะโลหะ
ทองแดง(Cu)เกิดการเสียอิเล็กตรอนกลายเป็น Cu2+ ซึ่งมีสีฟ้าและเมื่อ Ag+ รับอิเล็กตรอนเข้ามาจะกลายเป็น Ag
(โลหะเงิน) มาเกาะอยู่ที่แผ่นโลหะทองแดง
การเกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี
สารตั้งต้นไม่จำเป็นต้องสัมผัสกันโดยตรง แต่เกิดขึ้นได้โดยการให้หรือรับ
อิเล็กตรอนผ่านตัวนำไฟฟ้า
(conductor) หรืออาจเป็นสารละลายที่ยอมให้ไอออนเคลื่อนที่ผ่าน เรียกว่า
สารละลาย
อิเล็กโทรไลต์ เช่น สารละลายคอปเปอร์ (II) ซัลเฟต ในน้ำ
เซลล์ไฟฟ้าเคมี
เนื่องจากการที่สารที่ให้ e- และสารที่รับ e- สัมผัสกันโดยตรง จะไม่สามารถแสดงกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นได้
ดังนั้นหากต้องการให้มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นต้องมีการนำลวดตัวนำไฟฟ้าต่อเชื่อมเข้าไประหว่างขั้วไฟฟ้าของครึ่ง
เซลล์ที่ให้ e-และครึ่งเซลล์ที่รับ e- และพร้อมกับโวลต์มิเตอร์
และสะพานเกลือเชื่อมระหว่างครึ่งเซลล์ทั้งสอง
ศักย์ไฟฟ้ามาตรฐาน (E°)
ครึ่งเซลล์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบความสามารถในการให้รับ e- ของครึ่งเซลล์ต่างๆ จะใช้ครึ่งเซลล์
ไฮโดรเจนเขียนแทนด้วย Pt(s)
| H2(1atm) | H+(1M) และกำหนดให้ค่าศักย์ไฟฟ้าของไฮโดรเจนที่สภาวะ
มาตรฐาน(25°C,1atm) มีค่าเท่ากับศูนย์โวลต์
Eoของ H2 = 0.00
V.
การวัดค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐาน
ของเซลล์ไฟฟ้าใดๆ ทำได้โดยการนำครึ่งเซลล์มาตรฐานไฮโดรเจนต่อกับครึ่งเซลล์
ที่สนใจ
และขั้วไฟฟ้าจะต้องจุ่มอยู่ในสารละลายเข้มข้น 1 Molarโดย
E°Cell
= E°แคโทด - E°แอโนด
ข้อควรทราบเกี่ยวกับค่า E°
1. ถ้ามีการกลับสมการ ค่า E° จะเท่าเดิม แต่เครื่องหมายตรงกันข้าม
2. ถ้ามีการคูณสมการด้วยตัวเลขใดๆ ค่า E° จะเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
3. ค่า E° reduction ยิ่งมาก
แสดงว่าสารนั้นยิ่งรับ e- ได้ดี (แนวโน้มความเป็น
ตัวออกซิไดซ์มากขึ้น)
ค่า E° reduction ยิ่งต่ำ แสดงว่าสารนั้นยิ่งให้ e- ได้ดี (แนวโน้มความเป็นตัวรีดิวซ์มากขึ้น)
โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึง E° หากไม่มีการระบุว่าเป็น E°reduction หรือ E°oxidation ให้ถือว่าเป็น E°reduction
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
|
ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?
|
สถานะ : ผู้ใช้ลงทะเบียน
วิทยาศาสตร์
|
|
|